อาชีพโค้ชครอบจักรวาล บรั้ยย!
บล็อกนี้เราจะมาเขียนถึงอาชีพโค้ชครอบจักรวาล 😉 มาต่อกันค่ะหลังจากดองมาหลายวันจนได้ที่ วันนี้เพิ่งมีโอกาสเข้ามาเขียนต่อ ซึ่งบล็อกนี้เราจะเน้นไปที่อาชีพ 'ไลฟ์โค้ช' โค้ชชีวิตพิชิตหัวใจ!กันค่ะ
ทำไมอาชีพแปลกๆจึงมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ? เพราะทุกอาชีพต้องปรับตัวไปตามการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นเราอาจจะไม่ได้มองว่ามันเพิ่มขึ้น แต่เราอาจจะมองว่ามันเปลี่ยนมากกว่า เป็นอาชีพใหม่ๆที่เข้ามาในชีวิต เข้ามาในสังคม เปลี่ยนไปตามแต่ละยุคสมัย ซึ่งมีคนบางส่วนที่เปืดรับ มีบางส่วนที่ไม่เปิดรับและก็มีบางส่วนที่อาจจะรู้สึกเฉยๆ อาชีพโค้ชไม่ใช่อาชีพที่แปลกประหลาดแต่เป็นอาชีพที่ปรับเปลี่ยนไปตามกระแสสังคมโลก โค้ช(หรือจะเรียกให้เข้าใจง่ายๆได้ว่า ที่ปรึกษาและผู้ชี้แนะส่วนตัว) หลายปีมานี้มีผู้คนให้ความสนใจอยากผันตัวเองมาเป็นโค้ชกันมากขึ้นในหลายๆด้าน อาทิ โค้ชการเงิน โค้ชความรัก โค้ชความสัมพันธ์ โค้ชการแสดง โค้ชบุคลิกภาพ โค้ชหุ้น โค้ชสอนรวยพารวย โค้ชธุรกิจการลงทุนฯลฯ ซึ่งเราจะให้คำจำกัดความสั้นๆให้เข้าใจง่ายๆว่า "ผู้ชี้แนะส่วนตัว"
ทำไมโค้ชชีวิตถึงเข้ามามีบทบาทในสังคมไทยได้? อาจเพราะคนใกล้ชิดเป็นที่ปรึกษาที่ดีให้ไม่ได้ การไม่เข้าใจตนเอง การต้องการคำตอบที่เป็นกลาง ต้องการคำชี้แนะที่สร้างพลังใจอันประกอบไปด้วยความเข้าอกเข้าใจในความซับซ้อนของมนุษย์ต่อความสัมพันธ์ต่างๆในระดับที่สูง การฟังไม่ใช่แค่ฟังผ่านประสาทหูเพียงอย่างเดียว แล้วปล่อยให้ผ่านไปเหมือนดังลมพัดผ่านเท่านั้น แต่คนที่เป็นโค้ชต้องฟังด้วยมุมมองที่เปิด ผ่านสมองและหัวใจ วิเคราะห์ปัญหาที่ลูกค้าสื่อสารออกมาจากคำพูดและภาษากาย
อาชีพโค้ชหลอกลวงจริงหรือเปล่า ? ถ้าเราคิดว่าเขาหลอกเขาก็หลอกค่ะ แล้วเราต้องต่อด้วยถามตัวเองว่า เขาจะหลอกเราได้อย่างไร อาทิเช่น เขาพูดโน้มน้าวใจให้เราเชื่อ เขามีประสบการณ์ตรงในด้านที่โค้ช เขามีตัวอย่างของผู้ประสบความสำเร็จในการโค้ช(เช่น จากคำสัมภาษณ์ จากคอมเม้น จากรูปถ่ายหรือวิดีโอ ซึ่งตรงจุดนี้เป็นจุดที่เราควรใช้วิจารณญาณส่วนตัวพิจารณา เพราะอาจจะมีทั้งจริงและไม่จริงผสมกันอยู่)หลายคนอาจจะมองว่า โค้ชความรักความสัมพันธ์เป็นอาชีพที่เล่นกับจุดอ่อนในจิตใจของมนุษย์ หากเรามองแบบนี้ก็ไม่ถือว่าผิดนะ เพราะมันคือการมองเพื่อค้นหาคำถามต่อไปว่า จิตใจมนุษย์ทุกคนนั้นย่อมต้องมีจุดอ่อนอยู่เสมอ(เลยหรือไม่)(ยกเว้นผู้ฝึกตนมาดีแล้ว)
การโค้ชในกรณีนี้ก็เช่นกัน ถ้าเราคิดว่าเป็นการซื้อมุมมอง คำแนะนำ หรือแม้กระทั่งวิธีคิดแบบใหม่ เราก็อาจจะมองว่าเขาไม่ได้หลอก(แต่เป็นตัวเราเองที่ตัดสินใจอยากลองโค้ชดู)คือถ้าเราคิดว่าเขาหลอก แปลว่าเราได้ประเมินแล้วว่าอาจจะมีความเสียหายเกิดขึ้นกับเรานะ ไม่ว่าจะเป็นการหลอกลวงทางด้านความรู้สึก จิตใจ การเงิน อันที่จริงทุกสิ่งควรต้องผ่านการไตร่ตรองด้วยสติปัญญาของเราแล้วทั้งสิ้น ถ้าเราได้พิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีอะไรเสียหายกับเรา หรือเราอยากไปเพื่อต้องการเรียนรู้จากเขา เราก็ไป หรือหากเราคิดว่าปัญหาในชีวิตต่างๆเราสามารถโค้ชตัวเองได้ หรือเรามีที่ปรึกษาที่ดีอยู่แล้วก็ไม่ต้องไป
การโค้ชคือการล้างสมองหรือเปล่า? ขอตอบเป็นสองกรณี ดังนี้ค่ะ
คำตอบข้อที่หนึ่ง แล้วเราพร้อมจะให้เขาล้างสมองหรือเปล่าล่ะ ต่อให้โค้ชคนไหนมาผลักดันให้เราเปลี่ยน แต่กลับบ้านมาเรายังคงใช้ชีวิตแบบเดิม mind set แบบเดิม ทุกอย่างจะยังเหมือนเดิม ไม่ต้องกลัวว่าเราจะเปลี่ยนไปหรอกค่ะ เพราะว่านิสัยที่ฝังรากลึก(หรือที่เรียกว่าสันดานนั้นเปลี่ยนยาก) ถ้าเราจะเปลี่ยนนิสัยง่ายๆเขาวิจัยกันว่า เราต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่องภายในสามสัปดาห์(หรือ21วัน)ทำไมต้องต่อเนื่อง ก็เพราะต้องฝึกสมองให้เคยชิน เมื่อเริ่มมีความเคยชินมันจะกลายเป็นเรื่องธรรมดา(เลือกเปลี่ยนในสิ่งที่ตรงจริตของเรา)พอมันกลายเป็นเรื่องธรรมดา มันจะเริ่มง่ายที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วย
คำตอบข้อที่สอง ถ้าเราจะตอบว่าใช่ค่ะ การโค้ช(บางอย่าง)มันคือการล้างสมอง...แต่เขาจะล้างสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับเจ้าของสมอง เจ้าของหัวใจเองด้วยนะ ไม่ใช่อยู่ที่โค้ชเพียงอย่างเดียว ถ้าเขาล้างสมองเราสำเร็จนั่นแปลว่าเรายินยอมที่จะให้เขาล้างนะ เช่น เราอาจจะตั้งใจว่าลองดูหน่อยสิ บางทีวิธีคิดและวิธีการมองโลกของโค้ช อาจช่วยทำให้เราเปลี่ยนเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเดิม หรือแก้ปมของเราได้ก็ได้ หรือเราอาจจะคิดว่า นี่อุตส่าห์ไปให้ล้างสมองแล้วนะ...แต่แหม มันไม่สามารถทำให้เราอินได้อ่ะ เสร็จแล้วเราก็กลับ เราอาจจะเสียเงินค่าโค้ชไปบ้าง...แต่แล้วไงล่ะ ก็มันเงินของเรานี่
สิ่งที่โค้ชจะเทรนให้มีอะไรบ้าง?
-ความมั่นใจในตัวเอง การมองเห็นคุณค่าของตัวเอง การเคารพตัวเอง
-การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีให้ดำเนินต่อไปได้
-การเปลี่ยนแปลงอาชีพ สร้างสรรค์สถานที่ทำงานใหม่ให้น่าอยู่น่าทำงาน
-เรียนรู้การความสมดุลของชีวิต เปลี่ยนแปลงแก้ไขชีวิตไปได้หลายรูปแบบ หรือจะเรียกว่าการใช้ชีวิตบางครั้งมันก็ต้องมีทั้งลูกล่อลูกชนบ้าง จะให้นิ่งๆบื้อๆทางเดียวได้ยังไง
-การดูแลตัวเอง การเมตตาตัวเอง นำพาตัวเองไปพบสิ่งจำเป็นในชีวิต
-การดำเนินชีวิตให้ตรงตามวัตถุประสงค์
-เรียนรู้การจัดการกับอารมณ์ตัวเอง จัดการความโกรธ อารมณ์เสีย หงุดหงิด ความอึดอัดขัดใจ ความยุ่งยากใจ ความเครียด จัดการกับการเศร้าโศก สูญเสียและการเปลี่ยนแปลง
-จัดการความสัมพันธ์กับครอบครัวให้ดีขึ้น เช่นพ่อแม่
-การพิสูจน์ตนเอง การถูดกดขี่จากการต่างวัฒนธรรมของสังคมที่แตกต่าง
-การปักหลักอยู่กับอะไรเดิมๆที่คิดว่าดีแล้ว(แต่จริงๆไม่ดี) เช่นทนอยู่กับสามีคนเดิมที่ทำร้ายร่างกายอยู่ตลอดแต่ก็ไม่สามารถยุติความสัมพันธ์ได้
-การปลูกฝังวัฒนธรรมแบบยั่งยืน(การสร้างสรรค์โดยยืดหลักความคิด จริยธรรม ในรูปแบบความสัมพันธ์ต่างๆในธรรมชาติ นำมาปรับใช้กับการอยู่ร่วมกัน)
-สำหรับศิลปิน การสร้างสรรค์ศิลปะ
-การเรียนรู้เรื่องอาหาร โภชนาการและสุขภาพที่ดีที่สุด
พอเห็นอะไรไหมคะ ว่าหลายๆหัวข้อมันเกี่ยวโยงถึงวิธีการจัดการกับตัวเองโดยใช้หลักธรรมเข้ามาช่วย! ลองถามตัวเองก่อนว่าเราสอนตัวเราเองได้ไหม ปลดล็อคตัวเองได้ไหมในหัวข้อด้านบน ถ้าเราบอกว่าเราทำไม่ได้ แล้วอะไรคือตัวที่หยุดเราไว้
เมื่อตัดสินใจจะจ้างไลฟ์โค้ชแล้ว เขาจะดูแลเราอย่างไรบ้าง(อันนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละคอร์ส แยกเป็นระยะสั้น ระยะยาวหรือทดลองโค้ชออนไลน์แบบ30นาทีก็มีค่ะ)
-มีการอีเมลล์ซัพพอร์ตการให้กำลังใจแบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง
-มีการโทรโค้ชสรุปเป็นบางโอกาส
-มีการคุยส่วนตัว
-มีการคุยเป็นกลุ่ม
-มีทำกิจกรรมร่วมกัน
-มีการสร้างสถานการณ์เพื่อละลายพฤติกรรม
ในการโค้ชคุณสามารถโค้ชอย่างน้อยหนึ่งปีขึ้นไปและควรโค้ชต่อเนื่อง เป็นคำแนะนำ(ข้อมูลจากเว็บไซต์คุณโทนี่ รอบบิ้นส์)
ทักษะของโค้ชคือ การรู้จักตั้งคำถามให้ตรงเป้า มีวิธีการใช้เครื่องมือและเทคนิคผลักดันให้คุณสามารถค้นหาคำตอบได้ด้วยตัวเอง(ประมาณว่า โค้ชคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ในด้านนั้นๆที่ตนโค้ชอยู่)
แนะนำสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ ช่วยจัดการสมองและหัวใจให้คุณหาทางเปลี่ยนให้เกิดเป็นpassionจากความฝันสู่ความจริงในชีวิต โดยรวมแล้วการโค้ชจะใช้แรงกระตุ้น(motivate)เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และโค้ชที่ดีจะไม่สนใจว่าเรื่องส่วนตัวของลูกค้าจะเป็นอย่างไร โค้ชจะโฟกัสที่ปัญหาที่คุณต้องการจะแก้ และผลักดันให้คุณค้นพบคำตอบด้วยตัวคุณเอง และนำไปลงมือปฎิบัติ
อัพเดทเมื่อวันที่27เมษายน2561 เวลา16.30
บทความโดย:แก้วเกตุมณี@fitandfirmfamily
บทความนี้เป็นเพียงบทความแสดงความคิดเห็นเท่านั้นกรุณาใช้วิจารณญาณ
ทำไมอาชีพแปลกๆจึงมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ? เพราะทุกอาชีพต้องปรับตัวไปตามการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นเราอาจจะไม่ได้มองว่ามันเพิ่มขึ้น แต่เราอาจจะมองว่ามันเปลี่ยนมากกว่า เป็นอาชีพใหม่ๆที่เข้ามาในชีวิต เข้ามาในสังคม เปลี่ยนไปตามแต่ละยุคสมัย ซึ่งมีคนบางส่วนที่เปืดรับ มีบางส่วนที่ไม่เปิดรับและก็มีบางส่วนที่อาจจะรู้สึกเฉยๆ อาชีพโค้ชไม่ใช่อาชีพที่แปลกประหลาดแต่เป็นอาชีพที่ปรับเปลี่ยนไปตามกระแสสังคมโลก โค้ช(หรือจะเรียกให้เข้าใจง่ายๆได้ว่า ที่ปรึกษาและผู้ชี้แนะส่วนตัว) หลายปีมานี้มีผู้คนให้ความสนใจอยากผันตัวเองมาเป็นโค้ชกันมากขึ้นในหลายๆด้าน อาทิ โค้ชการเงิน โค้ชความรัก โค้ชความสัมพันธ์ โค้ชการแสดง โค้ชบุคลิกภาพ โค้ชหุ้น โค้ชสอนรวยพารวย โค้ชธุรกิจการลงทุนฯลฯ ซึ่งเราจะให้คำจำกัดความสั้นๆให้เข้าใจง่ายๆว่า "ผู้ชี้แนะส่วนตัว"
ทำไมโค้ชชีวิตถึงเข้ามามีบทบาทในสังคมไทยได้? อาจเพราะคนใกล้ชิดเป็นที่ปรึกษาที่ดีให้ไม่ได้ การไม่เข้าใจตนเอง การต้องการคำตอบที่เป็นกลาง ต้องการคำชี้แนะที่สร้างพลังใจอันประกอบไปด้วยความเข้าอกเข้าใจในความซับซ้อนของมนุษย์ต่อความสัมพันธ์ต่างๆในระดับที่สูง การฟังไม่ใช่แค่ฟังผ่านประสาทหูเพียงอย่างเดียว แล้วปล่อยให้ผ่านไปเหมือนดังลมพัดผ่านเท่านั้น แต่คนที่เป็นโค้ชต้องฟังด้วยมุมมองที่เปิด ผ่านสมองและหัวใจ วิเคราะห์ปัญหาที่ลูกค้าสื่อสารออกมาจากคำพูดและภาษากาย
อาชีพโค้ชหลอกลวงจริงหรือเปล่า ? ถ้าเราคิดว่าเขาหลอกเขาก็หลอกค่ะ แล้วเราต้องต่อด้วยถามตัวเองว่า เขาจะหลอกเราได้อย่างไร อาทิเช่น เขาพูดโน้มน้าวใจให้เราเชื่อ เขามีประสบการณ์ตรงในด้านที่โค้ช เขามีตัวอย่างของผู้ประสบความสำเร็จในการโค้ช(เช่น จากคำสัมภาษณ์ จากคอมเม้น จากรูปถ่ายหรือวิดีโอ ซึ่งตรงจุดนี้เป็นจุดที่เราควรใช้วิจารณญาณส่วนตัวพิจารณา เพราะอาจจะมีทั้งจริงและไม่จริงผสมกันอยู่)หลายคนอาจจะมองว่า โค้ชความรักความสัมพันธ์เป็นอาชีพที่เล่นกับจุดอ่อนในจิตใจของมนุษย์ หากเรามองแบบนี้ก็ไม่ถือว่าผิดนะ เพราะมันคือการมองเพื่อค้นหาคำถามต่อไปว่า จิตใจมนุษย์ทุกคนนั้นย่อมต้องมีจุดอ่อนอยู่เสมอ(เลยหรือไม่)(ยกเว้นผู้ฝึกตนมาดีแล้ว)
การโค้ชในกรณีนี้ก็เช่นกัน ถ้าเราคิดว่าเป็นการซื้อมุมมอง คำแนะนำ หรือแม้กระทั่งวิธีคิดแบบใหม่ เราก็อาจจะมองว่าเขาไม่ได้หลอก(แต่เป็นตัวเราเองที่ตัดสินใจอยากลองโค้ชดู)คือถ้าเราคิดว่าเขาหลอก แปลว่าเราได้ประเมินแล้วว่าอาจจะมีความเสียหายเกิดขึ้นกับเรานะ ไม่ว่าจะเป็นการหลอกลวงทางด้านความรู้สึก จิตใจ การเงิน อันที่จริงทุกสิ่งควรต้องผ่านการไตร่ตรองด้วยสติปัญญาของเราแล้วทั้งสิ้น ถ้าเราได้พิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีอะไรเสียหายกับเรา หรือเราอยากไปเพื่อต้องการเรียนรู้จากเขา เราก็ไป หรือหากเราคิดว่าปัญหาในชีวิตต่างๆเราสามารถโค้ชตัวเองได้ หรือเรามีที่ปรึกษาที่ดีอยู่แล้วก็ไม่ต้องไป
การโค้ชคือการล้างสมองหรือเปล่า? ขอตอบเป็นสองกรณี ดังนี้ค่ะ
คำตอบข้อที่หนึ่ง แล้วเราพร้อมจะให้เขาล้างสมองหรือเปล่าล่ะ ต่อให้โค้ชคนไหนมาผลักดันให้เราเปลี่ยน แต่กลับบ้านมาเรายังคงใช้ชีวิตแบบเดิม mind set แบบเดิม ทุกอย่างจะยังเหมือนเดิม ไม่ต้องกลัวว่าเราจะเปลี่ยนไปหรอกค่ะ เพราะว่านิสัยที่ฝังรากลึก(หรือที่เรียกว่าสันดานนั้นเปลี่ยนยาก) ถ้าเราจะเปลี่ยนนิสัยง่ายๆเขาวิจัยกันว่า เราต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่องภายในสามสัปดาห์(หรือ21วัน)ทำไมต้องต่อเนื่อง ก็เพราะต้องฝึกสมองให้เคยชิน เมื่อเริ่มมีความเคยชินมันจะกลายเป็นเรื่องธรรมดา(เลือกเปลี่ยนในสิ่งที่ตรงจริตของเรา)พอมันกลายเป็นเรื่องธรรมดา มันจะเริ่มง่ายที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วย
คำตอบข้อที่สอง ถ้าเราจะตอบว่าใช่ค่ะ การโค้ช(บางอย่าง)มันคือการล้างสมอง...แต่เขาจะล้างสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับเจ้าของสมอง เจ้าของหัวใจเองด้วยนะ ไม่ใช่อยู่ที่โค้ชเพียงอย่างเดียว ถ้าเขาล้างสมองเราสำเร็จนั่นแปลว่าเรายินยอมที่จะให้เขาล้างนะ เช่น เราอาจจะตั้งใจว่าลองดูหน่อยสิ บางทีวิธีคิดและวิธีการมองโลกของโค้ช อาจช่วยทำให้เราเปลี่ยนเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเดิม หรือแก้ปมของเราได้ก็ได้ หรือเราอาจจะคิดว่า นี่อุตส่าห์ไปให้ล้างสมองแล้วนะ...แต่แหม มันไม่สามารถทำให้เราอินได้อ่ะ เสร็จแล้วเราก็กลับ เราอาจจะเสียเงินค่าโค้ชไปบ้าง...แต่แล้วไงล่ะ ก็มันเงินของเรานี่
สิ่งที่โค้ชจะเทรนให้มีอะไรบ้าง?
-ความมั่นใจในตัวเอง การมองเห็นคุณค่าของตัวเอง การเคารพตัวเอง
-การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีให้ดำเนินต่อไปได้
-การเปลี่ยนแปลงอาชีพ สร้างสรรค์สถานที่ทำงานใหม่ให้น่าอยู่น่าทำงาน
-เรียนรู้การความสมดุลของชีวิต เปลี่ยนแปลงแก้ไขชีวิตไปได้หลายรูปแบบ หรือจะเรียกว่าการใช้ชีวิตบางครั้งมันก็ต้องมีทั้งลูกล่อลูกชนบ้าง จะให้นิ่งๆบื้อๆทางเดียวได้ยังไง
-การดูแลตัวเอง การเมตตาตัวเอง นำพาตัวเองไปพบสิ่งจำเป็นในชีวิต
-การดำเนินชีวิตให้ตรงตามวัตถุประสงค์
-เรียนรู้การจัดการกับอารมณ์ตัวเอง จัดการความโกรธ อารมณ์เสีย หงุดหงิด ความอึดอัดขัดใจ ความยุ่งยากใจ ความเครียด จัดการกับการเศร้าโศก สูญเสียและการเปลี่ยนแปลง
-จัดการความสัมพันธ์กับครอบครัวให้ดีขึ้น เช่นพ่อแม่
-การพิสูจน์ตนเอง การถูดกดขี่จากการต่างวัฒนธรรมของสังคมที่แตกต่าง
-การปักหลักอยู่กับอะไรเดิมๆที่คิดว่าดีแล้ว(แต่จริงๆไม่ดี) เช่นทนอยู่กับสามีคนเดิมที่ทำร้ายร่างกายอยู่ตลอดแต่ก็ไม่สามารถยุติความสัมพันธ์ได้
-การปลูกฝังวัฒนธรรมแบบยั่งยืน(การสร้างสรรค์โดยยืดหลักความคิด จริยธรรม ในรูปแบบความสัมพันธ์ต่างๆในธรรมชาติ นำมาปรับใช้กับการอยู่ร่วมกัน)
-สำหรับศิลปิน การสร้างสรรค์ศิลปะ
-การเรียนรู้เรื่องอาหาร โภชนาการและสุขภาพที่ดีที่สุด
พอเห็นอะไรไหมคะ ว่าหลายๆหัวข้อมันเกี่ยวโยงถึงวิธีการจัดการกับตัวเองโดยใช้หลักธรรมเข้ามาช่วย! ลองถามตัวเองก่อนว่าเราสอนตัวเราเองได้ไหม ปลดล็อคตัวเองได้ไหมในหัวข้อด้านบน ถ้าเราบอกว่าเราทำไม่ได้ แล้วอะไรคือตัวที่หยุดเราไว้
เมื่อตัดสินใจจะจ้างไลฟ์โค้ชแล้ว เขาจะดูแลเราอย่างไรบ้าง(อันนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละคอร์ส แยกเป็นระยะสั้น ระยะยาวหรือทดลองโค้ชออนไลน์แบบ30นาทีก็มีค่ะ)
-มีการอีเมลล์ซัพพอร์ตการให้กำลังใจแบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง
-มีการโทรโค้ชสรุปเป็นบางโอกาส
-มีการคุยส่วนตัว
-มีการคุยเป็นกลุ่ม
-มีทำกิจกรรมร่วมกัน
-มีการสร้างสถานการณ์เพื่อละลายพฤติกรรม
ในการโค้ชคุณสามารถโค้ชอย่างน้อยหนึ่งปีขึ้นไปและควรโค้ชต่อเนื่อง เป็นคำแนะนำ(ข้อมูลจากเว็บไซต์คุณโทนี่ รอบบิ้นส์)
ทักษะของโค้ชคือ การรู้จักตั้งคำถามให้ตรงเป้า มีวิธีการใช้เครื่องมือและเทคนิคผลักดันให้คุณสามารถค้นหาคำตอบได้ด้วยตัวเอง(ประมาณว่า โค้ชคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ในด้านนั้นๆที่ตนโค้ชอยู่)
แนะนำสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ ช่วยจัดการสมองและหัวใจให้คุณหาทางเปลี่ยนให้เกิดเป็นpassionจากความฝันสู่ความจริงในชีวิต โดยรวมแล้วการโค้ชจะใช้แรงกระตุ้น(motivate)เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และโค้ชที่ดีจะไม่สนใจว่าเรื่องส่วนตัวของลูกค้าจะเป็นอย่างไร โค้ชจะโฟกัสที่ปัญหาที่คุณต้องการจะแก้ และผลักดันให้คุณค้นพบคำตอบด้วยตัวคุณเอง และนำไปลงมือปฎิบัติ
อัพเดทเมื่อวันที่27เมษายน2561 เวลา16.30
บทความโดย:แก้วเกตุมณี@fitandfirmfamily
บทความนี้เป็นเพียงบทความแสดงความคิดเห็นเท่านั้นกรุณาใช้วิจารณญาณ