#เมื่อความกลัวบังเกิด
คุณเป็นอีกคนที่กำลังกลัวอยู่หรือเปล่า อะไรที่ทำให้คุณรู้สึกกลัว คน สัตว์ สิ่งของ สังคม ความรู้สึกหรือประสบการณ์ในวัยเด็กที่คุณยากจะลบเลือน ความกลัวนี้มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคนไม่เว้นแม้แต่บุคคลที่ประสบความสำเร็จระดับโลกหรือมีชื่อเสียงโด่งดังก็ตาม แต่สิ่งที่พลักดันให้คนเหล่านั้นยังคงเดินต่อไปข้างหน้าคือ กลัวแต่ยังไปต่อ ซึ่งต่างจากคนธรรมดาที่เมื่อกลัวแล้วจะหยุด ไม่ก้าวต่อ ไม่เดินต่อจึงยังก้าวข้ามตัวเองไปไม่ได้สักครั้ง บุคคลที่มีแนวโน้มประสบความสำเร็จนั้นเขาจะไม่หยุดเดินซึ่งคือความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่เกิดความกลัวแต่เมื่อยังไม่หยุดเดินจึงมีโอกาสเปลี่ยนแปลงและพัฒนา เพราะชีวิตที่หยุดก้าวเดินเปรียบเหมือนชีวิตที่ตายแล้ว แน่นอนว่าการเดินทางที่ผ่านมามันอาจสร้างให้ชีวิตมีรอยแผลบ้างแต่ทุกเรื่องราวมีความหมายและเป็นบทเรียนที่สำคัญเสมอ
ความกลัวเกิดขึ้นได้กับทุกคนทุกเพศทุกวัย ความกลัวเป็นหนึ่งในอารมณ์ที่ช่วยให้มนุษย์สามารถเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์อันตรายได้ ช่วยให้มีระบบป้องกันภัยที่จะเกิดแก่ตนเองได้ดีแต่หากเกิดขึ้นโดยปราศจากเหตุผลหรือกลัวเพราะเกิดจากความคิดและจินตนาการหลอกตัวเองในลักษณะนี้ควรกำจัดความกลัวประเภทนี้ทิ้งไปเพราะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ความกลัวรูปแบบนี้เมื่อเกิดขึ้นในสมองซ้ำๆมีโอกาสสูงที่จะทำให้ชีวิตสะดุดหรือหยุดนิ่งได้เลย เมื่อเราสนิทสนมกับความกลัวชนิดนี้มากขึ้นจากความเคยชินที่อยู่ด้วยกันมานาน ในระยะยาวอาจทำให้เรากลายเป็นคนที่มีบุคลิก ไม่เอา..ไม่กล้า..ฉันกลัว! ยิ่งสะสมมากเข้าก็จะกลายเป็นคนขี้กลัว ท้อแท้ง่าย ไม่สู้ชีวิต ไม่กล้าสู้กับสถานการณ์ยุ่งยากและไม่กล้าเผชิญหน้ากับอะไรใหม่ๆเพราะเอาแต่กลัว กลัวและกลัว!
เราจะกลัวอะไรก็ได้ จะกลัวจิ้งจก ตุ๊กแก แมลงสาบก็กลัวไปเพราะการกลัวลักษณะนี้แก้ไขได้โดยการเผชิญหน้ากับสิ่งที่เป็นต้นเหตุของความกลัวบ่อยๆเผชิญหน้าซ้ำๆแล้วความกลัวนั้นจะค่อยๆลดลงไปซึ่งมีผลมาจากการฝึกให้เกิดความเคยชินและเปลี่ยนวิธีมาคิดว่าเจอแล้วจะทำอย่างไร เช่น จะหนีหรือจะสู้ ยิ่งหนีก็ยิ่งสติแตกเปลี่ยนกลับมาสู้ดีกว่า ดิฉันเองก็เคยเป็นคนกลัวแมลงสาบสูงมาก (เป็นความกลัวผสมความขยะแขยงจากประสบการณ์แย่ๆในวัยเด็ก) ปัจจุบันไม่กลัวมากเหมือนตอนเด็กๆแล้ว เหลือความรู้สึกกลัวเพียงแค่นิดหน่อย กล้าเผชิญหน้ากับเจ้าปีเตอร์ด้วยแนวความคิดที่ว่าถ้าโผล่มาให้เจอแม้แต่หนวดแม่จะทุบให้แบนเลยเชียว! สงสัยว่าตอนนี้รังสีอำมหิตพุ่งแรงจนปีเตอร์ไม่ค่อยจะกล้าเข้ามาวอแวเท่าไหร่ อย่ามาเลยนะเดี๋ยว...กรี๊ด 😝
มาเขียนเล่าถึงความกลัวที่ควรจะเปลี่ยนให้เป็นความกล้ากันดีกว่าเพราะมีผลต่อการพัฒนาชีวิต นั่นก็คือ ความกล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจ มีความรับผิดชอบและมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ความกลัวและความมั่นใจมีผลมาจากวัฒนธรรมการเลี้ยงดูด้วยส่วนหนึ่ง การจะเลี้ยงเด็กให้เติบโตมาเป็นคนมีความมั่นใจในตัวเอง รู้จักคิด มีอิสระในความคิด รู้จักตัดสินใจ รู้จักรับผิดชอบ มีน้ำใจและอ่อนน้อมถ่อมตนนั้นไม่ง่าย ทุกอย่างเกิดจากเบ้าหลอมหรือบุคคลต้นแบบ นั่นคือ พ่อแม่ ซึ่งเป็นสังคมขนาดย่อยแต่มีส่วนสำคัญที่สุดต่อการเลี้ยงดูฝึกให้เด็กได้เรียนรู้วิธีจัดการกับอารมณ์ตัวเอง เรียนรู้วิธีการสื่อสาร การแสดงความคิดเห็น เรียนรู้วิธีการคิด เรียนรู้วิธีการใช้เหตุผลให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย โดยมีผู้ปกครองให้คำแนะนำและให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดจะช่วยทำให้เด็กเติบโตมาพร้อมความสนิทสนมกับพ่อแม่ กล้าเล่าถึงปัญหาต่างๆให้พ่อแม่ฟังอย่างเปิดใจได้เสมอเพื่อน บางครั้งพ่อแม่อาจสวมได้หลายบทบาท เช่นเป็นพี่ เป็นพ่อแม่ เป็นเพื่อน ซึ่งบทบาทเหล่านี้จะช่วยให้เด็กกล้าเข้าหา กล้าปรึกษา เมื่อเด็กไม่รู้สึกกลัวการถูกดุด่าหรือถูกตัดสินก่อนที่ผู้ใหญ่จะรับฟังความคิดเห็น เขาจะกล้าเข้าหาและอีกส่วนหนึ่งเป็นการชี้วัดว่าผู้ใหญ่นั้นมีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะเปิดใจรับฟังเรื่องราวจากเด็กก่อนหรือไม่...ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก เมื่อเราเปิดใจรับฟังเราจะมองเห็นและอ่านเขาออก มองเห็นถึงความต้องการ แรงจูงใจและเหตุผลที่เขาต้องแสดงออกมาเช่นนั้น เราจะวิเคราะห์และรับมือกับเขาได้
ครอบครัวคือเบ้าหลอมที่สำคัญยิ่ง หากครอบครัวไม่เป็นต้นแบบที่ดีในการปลูกฝังก็ยากทีจะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพเพราะพ่อแม่คือโค้ชคนแรกของเด็ก ผลผลิตจะยอดเยี่ยมหรือธรรมดาแค่ไหนโค้ชมีส่วนอย่างปฎิเสธไม่ได้ หลังจากนั้นคือสิ่งแวดล้อมอื่นๆตามมาเช่น เพื่อน (สังคมภายนอก โรงเรียน) และตัวตนของเด็กเอง (ดิฉันเชื่อว่าเด็กมีนิสัยที่ติดตัวมาแตกต่างกัน) ต่อให้เลี้ยงแบบเดียวกันเขาก็จะมีนิสัยส่วนตัวในแบบฉบับของตัวเขาเองซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ความเป็นหนึ่งเดียวและความไม่เหมือนใครที่เรียกว่าเอกลักษณ์ส่วนบุคคล การสอนให้เด็กเติบโตและสร้างให้เป็นคนรู้จักคิด คิดเองได้ คิดเองเป็น มีความอิสระในด้านความคิด มีมุมมองชีวิตที่เปิดกว้างและการตั้งคำถามที่กระตุ้นให้เด็กสามารถนำไปคิดต่อยอดได้นั้นคือสิ่งสำคัญเพราะความคิดที่ดีสามารถแผ่ขยายออกไปเป็นความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การคิดนอกกรอบ การคิดแบบไม่มีกรอบ เสริมสร้างจินตนาการพลักดันให้เกิดการคิดค้นประดิษฐ์นวัตกรรมใหม่ๆเพื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศจากทรัพยาการมนุษย์ที่มีคุณภาพ
เขียนไปก็เริ่มจะงงเองล่ะว่า เอ้า!...นี่ฉันกำลังเขียนเรื่องเลี้ยงเด็กหรือเรื่องความกลัวกันแน่..ฮ่าๆๆ 😅👶 อืม...กำลังจะโยงให้มาเป็นเรื่องเดียวกันด้วยเนื้อหาที่ว่าความกลัว ความไม่กล้าหลายรูปแบบมีจุดเริ่มต้นมาจากการเลี้ยงดูด้วยส่วนหนึ่ง จากนั้นจึงค่อยๆสะสมความกลัวนั้นมาจนกระทั่งถึงวัยผู้ใหญ่ 👵👴
การเลี้ยงดูเด็กของฝั่งโลกตะวันตกมีความต่างกับการโลกตะวันออกและทั้งสองวัฒนธรรมก็มีข้อดีข้อด้อยต่างกันไป ความต่างไม่ได้หมายถึงฝั่งไหนดีกว่าและฝั่งไหนแย่กว่า แต่หมายถึงเราสามารถมองเห็นจุดเด่นของแต่ละฝั่งแล้วนำข้อดีเหล่านั้นมาผสมผสานกันอย่างลงตัวได้หรือไม่ เช่น เลี้ยงแบบตะวันตกโดยส่วนใหญ่จะเน้นให้เด็กกล้าทำ กล้าเล่น กล้าล้ม โดยพ่อแม่ดูแลให้อยู่ในสายตา ถ้าลูกเล่นแล้วหกล้มก็อาจจะเข้าไปถามว่าลูกเจ็บไหม ลูกล้มเพราะอะไร ล้มเพราะความไม่ระวังใช่ไหม คราวต่อไปต้องระวังมากกว่านี้นะแล้วให้ลูกลุกเอง ส่วนทางฝั่งตะวันออกอาจจะเป็นไปในแนว ลูกอย่าไปเล่นซนนะ อย่าทำนะ อย่าเล่นดินนะสกปรกอันตราย ห้ามปีนนะเดี๋ยวตก พอลูกหกล้มร้องไห้วิ่งเข้าไปอุ้มไปโอ๋ไปตีโต๊ะตีเก้าอี้ ซึ่งความแตกต่างแบบนี้จะทำให้เด็กแต่ละคนเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ช้าเร็วไม่เท่ากัน(หมายถึงการเติบโตทางความคิด) สร้างให้เกิดความความกล้าและความความมั่นใจต่างกัน
โลกของเด็กคือโลกของการเรียนรู้และการทดลองทำสิ่งใหม่ๆ การเลี้ยงให้เป็นเด็กฉลาดคิด กล้าแสดงออก เป็นเด็กอารมณ์ดีล้วนแล้วแต่มาจากสิ่งแวดล้อมภายในครอบครัวเช่น ครอบครัวอบอุ่น คนในบ้านให้เกียรติซึ่งกันและกันมีการแสดงความรักต่อกันอย่างเหมาะสม
คุณเลี้ยงเด็กแบบไหน? แล้วตัวเราเองเป็นต้นแบบแบบไหนลองตรวจสอบตัวเองกันดู
เลี้ยงด้วยความกลัว โตมาเด็กจะขาดความมั่นใจ ไม่กล้าตัดสินใจ เป็นผู้ใหญ่ทางความคิดช้า พึ่งพาตัวเองไม่ได้เพราะคอยพึ่งพ่อแม่อยู่ตลอด การเลี้ยงด้วยกลัวทำให้ง่ายต่อการควบคุมเด็ก เมื่อเด็กเติบโตมาจะขาดความมั่นใจและกลัวที่จะแสดงอารมณ์ มีความโลเล ไม่คิดเองเพราะเคยชินที่มีพ่อแม่เป็นคนตัดสินใจให้ มีเด็กบางส่วนที่อาจจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวได้ดีขึ้น กล้าแสดงออกมากขึ้นในช่วงมัธยมและมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น การเลี้ยงดูลูกนอกจากเลี้ยงแบบให้ความรักในฐานะพ่อแม่แล้วควรเลี้ยงลูกและมีวิธีการสอนในแบบที่ควรปฎิบัติกับเขาเสมือนเป็นคนบุคคลคนหนึ่งอีกด้วย
เลี้ยงด้วยการดุด่า ได้เด็กที่ดื้อเงียบ ก้าวร้าว ไม่เคารพแม่พ่อ การเลี้ยงลูกด้วยการดุด่าด้วยถอยคำหยาบคายและใช้ความรุนแรง เป็นการเลี้ยงที่ไม่ได้แสดงความรักต่อเด็กและเขาจะซึมซับความรุนแรงนั้นจะทำให้เด็กขาดความนับถือพ่อแม่ เก็บกดอารมณ์และรอวันระบายออก ทำให้มีแนวโน้มเชื่อคนนอกครอบครัวได้ง่ายซึ่งมีผลมาจากการที่ผู้อื่นพูดจาดีกับเขาแต่ภายในหวังร้ายกับตัวเด็ก เมื่อเด็กเชื่อและไว้ใจคำพูดคนอื่น เวลาพ่อแม่ผู้ปกครองเตือนเด็กจะไม่ให้ความสนใจในคำเตือนนั้น (ถ้าคุณเตือนด้วยการดุด่าหยาบคาย) การดุด่าไม่ได้เป็นวิธีของการแสดงออกถึงความรัก (ถึงแม้ว่าใจจริงคุณจะรัก) แต่มันคือวิธีแสดงออกความไม่พอใจในตัวเด็กเป็นการไม่ยอมรับในตัวตนของเขา ซึ่งตีความได้ว่า 'ฉันไม่ชอบเธอ' 'ฉันไม่พอใจในตัวเธอ' 'ฉันไม่ชอบพฤติกรรมของเธอ'
เลี้ยงด้วยการประคบประหงม พ่อแม่ยอมทุกอย่าง ได้เด็กที่หัวอ่อนเรียบร้อย ไม่ทันคน เสี่ยงถูกหลอกได้ง่าย ซึ่งอาจกลายมาเป็นคนที่มีบุคลิกยอมอ่อนข้อตลอดเวลา ขี้น้อยใจ หลีกเลี่ยงการปะทะ
เลี้ยงด้วยการเปรียบเทียบ ได้เด็กที่รู้สึกขาดความรัก ความมั่นใจต่ำและเขาจะรู้สึกแย่กับพ่อแม่และรู้สึกว่าตัวเองถูกลดคุณค่า ชีวิตต้องแก่งแย่งแข่งขันชิงดีชิงเด่น เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นตลอดเวลา ซึ่งจะทำให้เกิดบุคลิกในแบบถ้าเขาไม่เหนือกว่าใครเขาจะไม่รู้สึกมีความสุข เสพติดการแข่งขัน
เลี้ยงดูลูกด้วยการปิดหูปิดตา เด็กจะยิ่งอยากรู้อยากลองเพราะมันท้าทาย ตื่นเต้นและรู้สึกได้เปิดหูเปิดตา พ่อแม่ไม่ให้ก็แอบทำซะเลย อยู่ที่บ้านเงียบเรียบร้อย ไร้ปากเสียงแต่อยู่นอกบ้านเป็นคนที่ปลดปล่อยทุกอย่าง ทำทุกอย่างด้วยอารมณ์อยากทำ
จะเห็นได้ว่าจากตัวอย่างห้าข้อด้านบน เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้วการเลี้ยงในทุกๆแบบจะมีอารมณ์ความรู้สึกกลัว ไม่กล้าและความรู้สึกเกลียดเป็นส่วนผสมปนเปกันอยู่มากน้อยต่างกันไปตามวิธีการเลี้ยง (ซึ่งวิธีการของแต่ละครอบครัวก็ต่างกันไป มีร้อยแปดพันวิธีไม่ใช่แค่ตามตัวอย่างด้านบน) สะสมฝังลึกเป็นส่วนหนึ่งในนิสัยของแต่ละบุคคลจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แล้วมาคิดกันต่อสิคะว่าเราจะได้ผู้ใหญ่แบบไหน? แล้วตัวเราเองล่ะเป็นผู้ใหญ่แบบไหน? น่าคิดเหมือนกันนะ
ทำไมผู้ใหญ่บางส่วนถึงยิ่งแก่ยิ่งกลัว เป็นไปได้ไหมว่าผู้ใหญ่มีช่วงเวลาที่จะเรียนรู้ถูกผิดน้อยลง โอกาสแก้ตัวจึงลดน้อยลงตามลำดับไปด้วย ดังนั้นเมื่อผู้ใหญ่คิดมักจะมองรอบด้าน รอบคอบ ละเอียด ส่วนหนึ่งเกิดจากประสบการณ์ในอดีตที่ผิดพลาดมาหรือล้มเหลวบ่อยครั้งจนท้อ สะสมกลายมาเป็นจุดอ่อนเล็กๆในชีวิตได้เช่นกัน คนส่วนใหญ่ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงเพราะการเปลี่ยนแปลงทำให้มนุษย์ต้องปรับตัว การเจอโอกาสใหม่ เจอสิ่งแวดล้อมใหม่ เจอคนใหม่ๆทำให้เกิดความความรู้สึกไม่มั่นคงซึ่งเกิดจากความเคยชินกับรูปแบบชีวิตเดิมๆ มีความกังวลถึงความปลอดภัยและรู้สึกเสี่ยงที่ต้องพบกับประสบการณ์ใหม่ที่ไม่คุ้นเคยและยากต่อการรับมือ แต่หลักความจริงตามธรรมชาตินั้นมนุษย์เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวินาที ทุกวัน มนุษย์แก่และเสื่อมอยู่ตลอดเวลา ความกลัวไม่มีวันจางหายไปไหนหากเราไม่เรียนรู้และทำความเข้าใจกับตัวเองว่าแท้จริงแล้ว เรากลัวอะไร สมเหตุสมผลหรือไม่ เมื่อแก่ตัวไปเราจะเป็นคนที่กลัวการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่าลืมว่าผู้ใหญ่ในวันนี้คือเด็กที่แก่แล้ว ผู้ใหญ่ไม่ได้เติบโตมาแล้วจะมีวุฒิภาวะได้ทุกคน ผู้ใหญ่หลายคนวุฒิภาวะค่อนข้างสวนทางกับอายุและอีกประเด็นที่สำคัญ คือผู้ใหญ่ควรสามารถขอโทษเด็กก่อนได้เมื่อรู้ตัวว่าผิดเนื่องจากผู้ใหญ่ คือมนุษย์คนหนึ่งที่สามารถทำผิดได้เช่นเดียวกัน
การที่ไม่รู้จักการขอโทษใครก่อนเลยอาจเพราะผู้ใหญ่จะถือตัวเองว่าแก่กว่า เกิดมาก่อน รู้อะไรมากกว่าและรู้สึกเสียหน้าหรือเปล่าจึงไม่กล้าจะพูดขอโทษ การที่จะพูดขอโทษใครได้ ในใจเราต้องสำนึกได้ก่อนว่าสิ่งที่เราทำมันไม่ถูกต้องหรืออาจจะเป็นการเข้าใจผิด การขอโทษจะแสดงให้เห็นถึงความตระหนักรู้ด้วยตัวเองว่าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นการตัดสินคนอื่นไปก่อนหรือใช้อารมณ์โดยไร้เหตุผล การขอโทษก่อนบ่งบอกว่าเราเติบโตทางความคิด มีวุฒิภาวะและยอมรับได้ว่าเราเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง เป็นมนุษย์ซึ่งมีอารมณ์ความรู้สึก แต่สิ่งที่เหนือกว่าคือรู้เท่าทันตัวเอง การขอโทษเป็นจะทำให้คุณน่านับถือมากกว่าผู้ใหญ่ที่ทำตัวแบบผิดไม่เป็นและถือตัวเองว่าเกิดก่อน แก่กว่า ไม่จำเป็นต้องขอโทษ (รู้ไหมว่าการที่ทำตัวผิดไม่เป็นมันแสดงให้เห็นถึงนิสัยเด็กๆที่เอาแต่ใจและไม่รับผิดชอบอะไร ไม่ได้ชี้วัดถึงความเป็นผู้ใหญ่สักนิด)
สังคมภายนอกก็เป็นส่วนประกอบหนึ่งที่ทำให้หลายคนกลัวที่จะแตกต่าง เช่นวัฒนธรรมการคิด การเลียนแบบของคนในสังคม การตามกระแส การสวนกระแสหรือการทำตัวเรียกร้องความสนใจล้วนแล้วแต่มาจากความกลัวที่อยู่ส่วนลึกในใจ คิดต่างก็กลัวดูแปลก ไม่ตามกระแสก็กลัวถูกหาว่าแปลกแยกฯลฯ
กลัวความล้มเหลว ที่คนกลัวความล้มเหลวอาจเป็นเพราะบางคนทำใจยอมรับได้ยาก ความล้มเหลวเป็นเรื่องธรรมดาเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ เรียนรู้มันซะ อย่าทำผิดซ้ำๆกับเรื่องเดิมอีก ลุกขึ้นและก้าวต่อไปจนกว่าคุณจะชนะ เรื่องเล่าที่ดีและสนุกอาจต้องมีเรื่องราวของความล้มเหลว รอยแผลต่างๆมาประกอบบ้าง เพื่อให้เรื่องของคุณมีสีสันและไม่จืดชืดมากจนเกินไป การเล่าเรื่องที่คุณเคยล้มเหลวมาก่อนในวันที่คุณผ่านมาได้ เมื่อคุณหันกลับไปมองอีกครั้งคุณอาจจะยิ้มให้กับความเข็มแข็งที่ผ่านมาของคุณได้ก็ได้นะ
กลัวไม่เป็นที่รัก หลายคนยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อความรัก เพื่อให้ได้เป็นที่รักและมีอีกมากมายที่เจ็บเพราะความรัก คุณจะไม่เจ็บกับความรักถ้าคนที่คุณตกหลุมรักครั้งแรกคือตัวของคุณเอง รักตัวเองให้ได้ก่อนแล้วค่อยแบ่งปันความรักนั้นไปให้ผู้อื่น อย่าร้องขอความรักจากใครเพราะคุณไม่ใช่ขอทาน คุณมีค่ามากกว่านั้นเพราะคนที่คุณรักนั้น คือคนที่คุณแบ่งปันความรักที่คุณมีล้นเหลือจากตัวเองไปให้เขา ส่วนสิ่งที่ได้รับตอบกลับมาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคุณจะยังบอกตัวเองว่า 'ฉันสบายดี ขอบคุณ' อย่าเป็นใครก็ตามที่ไม่ใช่ตัวคุณ อย่าพยายามเป็นคนอื่นเพื่อให้ได้รับความรักแต่ควรเลือกรักให้ถูกคน
กลัวจน ข้อนี้กลัวได้นะสมเหตุผล กลัวแล้วควรตั้งใจทำงาน ขยัน ฉลาดคิด ฉลาดทำ พัฒนาตัวเองให้พร้อมอยู่เสมอ สร้างโอกาสขึ้นมาด้วยตัวเองอย่ามัวแต่นั่งรอโอกาสให้มาหาเพียงอย่างเดียว เปิดหู เปิดตา เปิดใจกับวิธีการหาเงินในยุค4.0 ปรับตัวและอยู่ให้ได้ทุกสถานการณ์เพราะชีวิตยุคนี้มันต้องสตรอง
กลัวขึ้นคาน ชีวิตคู่หรือชีวิตโสดก็มีความสุขได้ เป็นเรื่องธรรมชาติทั้งสองแบบ ถ้าคุณพอใจและมีความสุขกับชีวิตโดยไม่หลอกตัวเอง วางแผนสำหรับชีวิตไว้ไม่ว่าจะโสดหรือมีคู่การเงินต้องดีเยี่ยม เพราะเงินคือสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตได้มากที่สุด เลือกคบกัลยาณมิตรที่ดีและจงเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อผู้อื่นเช่นกัน ปัจจุบันคนโสดมีมากขึ้นรวมถึงคนมีคู่แต่ตัดสินใจไม่มีลูกก็เยอะขึ้น ความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกันดังนั้นอย่าอ้างอิงความสุขของคุณกับคนอื่น
กลัวป่วย ข้อนี้มีเหตุผลที่ทุกคนสมควรกลัว คุณต้องรักตัวเองดูแลตัวเองเลิกหาข้ออ้างกับตัวเอง ทำให้คนในกระจกมีความสุขที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วเขาจะตอบแทนกลับมาอย่างเลอเลิศที่สุดเท่าที่เขาจะให้คุณกลับมาได้ เมื่อคุณสุขภาพดีคุณจะมีโอกาสดีหลากหลายวิ่งเข้ามาหาทั้งยังมีโอกาสสร้างกุศลให้กับตัวเองและสร้างความสุขให้ผู้คนได้อีกมาก
กลัวตาย มีเหตุผลและเป็นเรื่องธรรมชาติ (ข้อนี้บางคนกลัว บางคนไม่กลัว บางคนกลัวการทรมานยาวนานก่อนตาย) เมื่อไม่รู้ว่าข้อนี้จะมาถึงเมื่อไหร่ ฉะนั้นอย่าเสียเวลากับเรื่องไร้สาระและทำให้คุณต้องติดอยู่กับสิ่งที่ทำให้ทุกข์มากอยู่เลย ช่วงชีวิตที่อยู่ให้สร้างความดี เรื่องที่ดีทั้งกับต่อตนเองและผู้อื่น จงเป็นคนที่มีความสุขทุกวัน มองโลกตามความเป็นจริงและมองบวก จงเป็นคนที่เป็นแหล่งพลังชีวิตเมื่อใครอยู่ใกล้ๆจะรู้สึกได้ถึงความสุขและอบอุ่น
เพื่อให้เรามีความกลัวน้อยลงเราจึงควรฝึกวางเป้าหมายและวางแผนชีวิตเป็นขั้นตอนเพราะคือสิ่งหนึ่งที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจ ทำให้เกิดความกล้าลงมือทำและลดความรู้สึกกลัวลงได้ สำหรับบางเรื่องที่อยู่เหนือการควบคุมของเราหรืออาจมีเหตุการณ์ใดที่ทำให้เราอาจต้องนอกแผนไปบ้างให้ถือว่าคือความท้าทายของชีวิตและฝึกทักษะการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไป เมื่อคุณดำเนินชีวิตได้อย่างสมดุลและสอดคล้องกับธรรมชาติ คุณจะไม่กลัวการเปลี่ยนแปลงแต่คุณจะยินดีกับการเปลี่ยนแปลงนั้นและคิดว่าทุกการเปลี่ยนแปลงคือโอกาสเจริญก้าวหน้าในชีวิต การพัฒนาชีวิต การพัฒนาจิตใจ ความเป็นผู้ใหญ่ หยุดกลัวเถอะถ้าคุณไม่มีวันรู้ว่าคุณจะตายจากโลกใบนี้ไปวันไหน หน้าที่ของคุณคือฝึกใช้ชีวิตให้มีความสุขในทุกๆวัน
ผู้เขียน: แก้วเกตุมณี@fitandfirmfamily
ยิ่งสูงยิ่งเห็น ยิ่งสูงยิ่งมองได้กว้างและไกล
ความกลัวเกิดขึ้นได้กับทุกคนทุกเพศทุกวัย ความกลัวเป็นหนึ่งในอารมณ์ที่ช่วยให้มนุษย์สามารถเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์อันตรายได้ ช่วยให้มีระบบป้องกันภัยที่จะเกิดแก่ตนเองได้ดีแต่หากเกิดขึ้นโดยปราศจากเหตุผลหรือกลัวเพราะเกิดจากความคิดและจินตนาการหลอกตัวเองในลักษณะนี้ควรกำจัดความกลัวประเภทนี้ทิ้งไปเพราะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ความกลัวรูปแบบนี้เมื่อเกิดขึ้นในสมองซ้ำๆมีโอกาสสูงที่จะทำให้ชีวิตสะดุดหรือหยุดนิ่งได้เลย เมื่อเราสนิทสนมกับความกลัวชนิดนี้มากขึ้นจากความเคยชินที่อยู่ด้วยกันมานาน ในระยะยาวอาจทำให้เรากลายเป็นคนที่มีบุคลิก ไม่เอา..ไม่กล้า..ฉันกลัว! ยิ่งสะสมมากเข้าก็จะกลายเป็นคนขี้กลัว ท้อแท้ง่าย ไม่สู้ชีวิต ไม่กล้าสู้กับสถานการณ์ยุ่งยากและไม่กล้าเผชิญหน้ากับอะไรใหม่ๆเพราะเอาแต่กลัว กลัวและกลัว!
เราจะกลัวอะไรก็ได้ จะกลัวจิ้งจก ตุ๊กแก แมลงสาบก็กลัวไปเพราะการกลัวลักษณะนี้แก้ไขได้โดยการเผชิญหน้ากับสิ่งที่เป็นต้นเหตุของความกลัวบ่อยๆเผชิญหน้าซ้ำๆแล้วความกลัวนั้นจะค่อยๆลดลงไปซึ่งมีผลมาจากการฝึกให้เกิดความเคยชินและเปลี่ยนวิธีมาคิดว่าเจอแล้วจะทำอย่างไร เช่น จะหนีหรือจะสู้ ยิ่งหนีก็ยิ่งสติแตกเปลี่ยนกลับมาสู้ดีกว่า ดิฉันเองก็เคยเป็นคนกลัวแมลงสาบสูงมาก (เป็นความกลัวผสมความขยะแขยงจากประสบการณ์แย่ๆในวัยเด็ก) ปัจจุบันไม่กลัวมากเหมือนตอนเด็กๆแล้ว เหลือความรู้สึกกลัวเพียงแค่นิดหน่อย กล้าเผชิญหน้ากับเจ้าปีเตอร์ด้วยแนวความคิดที่ว่าถ้าโผล่มาให้เจอแม้แต่หนวดแม่จะทุบให้แบนเลยเชียว! สงสัยว่าตอนนี้รังสีอำมหิตพุ่งแรงจนปีเตอร์ไม่ค่อยจะกล้าเข้ามาวอแวเท่าไหร่ อย่ามาเลยนะเดี๋ยว...กรี๊ด 😝
มาเขียนเล่าถึงความกลัวที่ควรจะเปลี่ยนให้เป็นความกล้ากันดีกว่าเพราะมีผลต่อการพัฒนาชีวิต นั่นก็คือ ความกล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจ มีความรับผิดชอบและมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ความกลัวและความมั่นใจมีผลมาจากวัฒนธรรมการเลี้ยงดูด้วยส่วนหนึ่ง การจะเลี้ยงเด็กให้เติบโตมาเป็นคนมีความมั่นใจในตัวเอง รู้จักคิด มีอิสระในความคิด รู้จักตัดสินใจ รู้จักรับผิดชอบ มีน้ำใจและอ่อนน้อมถ่อมตนนั้นไม่ง่าย ทุกอย่างเกิดจากเบ้าหลอมหรือบุคคลต้นแบบ นั่นคือ พ่อแม่ ซึ่งเป็นสังคมขนาดย่อยแต่มีส่วนสำคัญที่สุดต่อการเลี้ยงดูฝึกให้เด็กได้เรียนรู้วิธีจัดการกับอารมณ์ตัวเอง เรียนรู้วิธีการสื่อสาร การแสดงความคิดเห็น เรียนรู้วิธีการคิด เรียนรู้วิธีการใช้เหตุผลให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย โดยมีผู้ปกครองให้คำแนะนำและให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดจะช่วยทำให้เด็กเติบโตมาพร้อมความสนิทสนมกับพ่อแม่ กล้าเล่าถึงปัญหาต่างๆให้พ่อแม่ฟังอย่างเปิดใจได้เสมอเพื่อน บางครั้งพ่อแม่อาจสวมได้หลายบทบาท เช่นเป็นพี่ เป็นพ่อแม่ เป็นเพื่อน ซึ่งบทบาทเหล่านี้จะช่วยให้เด็กกล้าเข้าหา กล้าปรึกษา เมื่อเด็กไม่รู้สึกกลัวการถูกดุด่าหรือถูกตัดสินก่อนที่ผู้ใหญ่จะรับฟังความคิดเห็น เขาจะกล้าเข้าหาและอีกส่วนหนึ่งเป็นการชี้วัดว่าผู้ใหญ่นั้นมีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะเปิดใจรับฟังเรื่องราวจากเด็กก่อนหรือไม่...ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก เมื่อเราเปิดใจรับฟังเราจะมองเห็นและอ่านเขาออก มองเห็นถึงความต้องการ แรงจูงใจและเหตุผลที่เขาต้องแสดงออกมาเช่นนั้น เราจะวิเคราะห์และรับมือกับเขาได้
ครอบครัวคือเบ้าหลอมที่สำคัญยิ่ง หากครอบครัวไม่เป็นต้นแบบที่ดีในการปลูกฝังก็ยากทีจะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพเพราะพ่อแม่คือโค้ชคนแรกของเด็ก ผลผลิตจะยอดเยี่ยมหรือธรรมดาแค่ไหนโค้ชมีส่วนอย่างปฎิเสธไม่ได้ หลังจากนั้นคือสิ่งแวดล้อมอื่นๆตามมาเช่น เพื่อน (สังคมภายนอก โรงเรียน) และตัวตนของเด็กเอง (ดิฉันเชื่อว่าเด็กมีนิสัยที่ติดตัวมาแตกต่างกัน) ต่อให้เลี้ยงแบบเดียวกันเขาก็จะมีนิสัยส่วนตัวในแบบฉบับของตัวเขาเองซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ความเป็นหนึ่งเดียวและความไม่เหมือนใครที่เรียกว่าเอกลักษณ์ส่วนบุคคล การสอนให้เด็กเติบโตและสร้างให้เป็นคนรู้จักคิด คิดเองได้ คิดเองเป็น มีความอิสระในด้านความคิด มีมุมมองชีวิตที่เปิดกว้างและการตั้งคำถามที่กระตุ้นให้เด็กสามารถนำไปคิดต่อยอดได้นั้นคือสิ่งสำคัญเพราะความคิดที่ดีสามารถแผ่ขยายออกไปเป็นความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การคิดนอกกรอบ การคิดแบบไม่มีกรอบ เสริมสร้างจินตนาการพลักดันให้เกิดการคิดค้นประดิษฐ์นวัตกรรมใหม่ๆเพื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศจากทรัพยาการมนุษย์ที่มีคุณภาพ
เขียนไปก็เริ่มจะงงเองล่ะว่า เอ้า!...นี่ฉันกำลังเขียนเรื่องเลี้ยงเด็กหรือเรื่องความกลัวกันแน่..ฮ่าๆๆ 😅👶 อืม...กำลังจะโยงให้มาเป็นเรื่องเดียวกันด้วยเนื้อหาที่ว่าความกลัว ความไม่กล้าหลายรูปแบบมีจุดเริ่มต้นมาจากการเลี้ยงดูด้วยส่วนหนึ่ง จากนั้นจึงค่อยๆสะสมความกลัวนั้นมาจนกระทั่งถึงวัยผู้ใหญ่ 👵👴
การเลี้ยงดูเด็กของฝั่งโลกตะวันตกมีความต่างกับการโลกตะวันออกและทั้งสองวัฒนธรรมก็มีข้อดีข้อด้อยต่างกันไป ความต่างไม่ได้หมายถึงฝั่งไหนดีกว่าและฝั่งไหนแย่กว่า แต่หมายถึงเราสามารถมองเห็นจุดเด่นของแต่ละฝั่งแล้วนำข้อดีเหล่านั้นมาผสมผสานกันอย่างลงตัวได้หรือไม่ เช่น เลี้ยงแบบตะวันตกโดยส่วนใหญ่จะเน้นให้เด็กกล้าทำ กล้าเล่น กล้าล้ม โดยพ่อแม่ดูแลให้อยู่ในสายตา ถ้าลูกเล่นแล้วหกล้มก็อาจจะเข้าไปถามว่าลูกเจ็บไหม ลูกล้มเพราะอะไร ล้มเพราะความไม่ระวังใช่ไหม คราวต่อไปต้องระวังมากกว่านี้นะแล้วให้ลูกลุกเอง ส่วนทางฝั่งตะวันออกอาจจะเป็นไปในแนว ลูกอย่าไปเล่นซนนะ อย่าทำนะ อย่าเล่นดินนะสกปรกอันตราย ห้ามปีนนะเดี๋ยวตก พอลูกหกล้มร้องไห้วิ่งเข้าไปอุ้มไปโอ๋ไปตีโต๊ะตีเก้าอี้ ซึ่งความแตกต่างแบบนี้จะทำให้เด็กแต่ละคนเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ช้าเร็วไม่เท่ากัน(หมายถึงการเติบโตทางความคิด) สร้างให้เกิดความความกล้าและความความมั่นใจต่างกัน
โลกของเด็กคือโลกของการเรียนรู้และการทดลองทำสิ่งใหม่ๆ การเลี้ยงให้เป็นเด็กฉลาดคิด กล้าแสดงออก เป็นเด็กอารมณ์ดีล้วนแล้วแต่มาจากสิ่งแวดล้อมภายในครอบครัวเช่น ครอบครัวอบอุ่น คนในบ้านให้เกียรติซึ่งกันและกันมีการแสดงความรักต่อกันอย่างเหมาะสม
คุณเลี้ยงเด็กแบบไหน? แล้วตัวเราเองเป็นต้นแบบแบบไหนลองตรวจสอบตัวเองกันดู
เลี้ยงด้วยความกลัว โตมาเด็กจะขาดความมั่นใจ ไม่กล้าตัดสินใจ เป็นผู้ใหญ่ทางความคิดช้า พึ่งพาตัวเองไม่ได้เพราะคอยพึ่งพ่อแม่อยู่ตลอด การเลี้ยงด้วยกลัวทำให้ง่ายต่อการควบคุมเด็ก เมื่อเด็กเติบโตมาจะขาดความมั่นใจและกลัวที่จะแสดงอารมณ์ มีความโลเล ไม่คิดเองเพราะเคยชินที่มีพ่อแม่เป็นคนตัดสินใจให้ มีเด็กบางส่วนที่อาจจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวได้ดีขึ้น กล้าแสดงออกมากขึ้นในช่วงมัธยมและมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น การเลี้ยงดูลูกนอกจากเลี้ยงแบบให้ความรักในฐานะพ่อแม่แล้วควรเลี้ยงลูกและมีวิธีการสอนในแบบที่ควรปฎิบัติกับเขาเสมือนเป็นคนบุคคลคนหนึ่งอีกด้วย
เลี้ยงด้วยการดุด่า ได้เด็กที่ดื้อเงียบ ก้าวร้าว ไม่เคารพแม่พ่อ การเลี้ยงลูกด้วยการดุด่าด้วยถอยคำหยาบคายและใช้ความรุนแรง เป็นการเลี้ยงที่ไม่ได้แสดงความรักต่อเด็กและเขาจะซึมซับความรุนแรงนั้นจะทำให้เด็กขาดความนับถือพ่อแม่ เก็บกดอารมณ์และรอวันระบายออก ทำให้มีแนวโน้มเชื่อคนนอกครอบครัวได้ง่ายซึ่งมีผลมาจากการที่ผู้อื่นพูดจาดีกับเขาแต่ภายในหวังร้ายกับตัวเด็ก เมื่อเด็กเชื่อและไว้ใจคำพูดคนอื่น เวลาพ่อแม่ผู้ปกครองเตือนเด็กจะไม่ให้ความสนใจในคำเตือนนั้น (ถ้าคุณเตือนด้วยการดุด่าหยาบคาย) การดุด่าไม่ได้เป็นวิธีของการแสดงออกถึงความรัก (ถึงแม้ว่าใจจริงคุณจะรัก) แต่มันคือวิธีแสดงออกความไม่พอใจในตัวเด็กเป็นการไม่ยอมรับในตัวตนของเขา ซึ่งตีความได้ว่า 'ฉันไม่ชอบเธอ' 'ฉันไม่พอใจในตัวเธอ' 'ฉันไม่ชอบพฤติกรรมของเธอ'
เลี้ยงด้วยการประคบประหงม พ่อแม่ยอมทุกอย่าง ได้เด็กที่หัวอ่อนเรียบร้อย ไม่ทันคน เสี่ยงถูกหลอกได้ง่าย ซึ่งอาจกลายมาเป็นคนที่มีบุคลิกยอมอ่อนข้อตลอดเวลา ขี้น้อยใจ หลีกเลี่ยงการปะทะ
เลี้ยงด้วยการเปรียบเทียบ ได้เด็กที่รู้สึกขาดความรัก ความมั่นใจต่ำและเขาจะรู้สึกแย่กับพ่อแม่และรู้สึกว่าตัวเองถูกลดคุณค่า ชีวิตต้องแก่งแย่งแข่งขันชิงดีชิงเด่น เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นตลอดเวลา ซึ่งจะทำให้เกิดบุคลิกในแบบถ้าเขาไม่เหนือกว่าใครเขาจะไม่รู้สึกมีความสุข เสพติดการแข่งขัน
เลี้ยงดูลูกด้วยการปิดหูปิดตา เด็กจะยิ่งอยากรู้อยากลองเพราะมันท้าทาย ตื่นเต้นและรู้สึกได้เปิดหูเปิดตา พ่อแม่ไม่ให้ก็แอบทำซะเลย อยู่ที่บ้านเงียบเรียบร้อย ไร้ปากเสียงแต่อยู่นอกบ้านเป็นคนที่ปลดปล่อยทุกอย่าง ทำทุกอย่างด้วยอารมณ์อยากทำ
จะเห็นได้ว่าจากตัวอย่างห้าข้อด้านบน เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้วการเลี้ยงในทุกๆแบบจะมีอารมณ์ความรู้สึกกลัว ไม่กล้าและความรู้สึกเกลียดเป็นส่วนผสมปนเปกันอยู่มากน้อยต่างกันไปตามวิธีการเลี้ยง (ซึ่งวิธีการของแต่ละครอบครัวก็ต่างกันไป มีร้อยแปดพันวิธีไม่ใช่แค่ตามตัวอย่างด้านบน) สะสมฝังลึกเป็นส่วนหนึ่งในนิสัยของแต่ละบุคคลจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แล้วมาคิดกันต่อสิคะว่าเราจะได้ผู้ใหญ่แบบไหน? แล้วตัวเราเองล่ะเป็นผู้ใหญ่แบบไหน? น่าคิดเหมือนกันนะ
ทำไมผู้ใหญ่บางส่วนถึงยิ่งแก่ยิ่งกลัว เป็นไปได้ไหมว่าผู้ใหญ่มีช่วงเวลาที่จะเรียนรู้ถูกผิดน้อยลง โอกาสแก้ตัวจึงลดน้อยลงตามลำดับไปด้วย ดังนั้นเมื่อผู้ใหญ่คิดมักจะมองรอบด้าน รอบคอบ ละเอียด ส่วนหนึ่งเกิดจากประสบการณ์ในอดีตที่ผิดพลาดมาหรือล้มเหลวบ่อยครั้งจนท้อ สะสมกลายมาเป็นจุดอ่อนเล็กๆในชีวิตได้เช่นกัน คนส่วนใหญ่ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงเพราะการเปลี่ยนแปลงทำให้มนุษย์ต้องปรับตัว การเจอโอกาสใหม่ เจอสิ่งแวดล้อมใหม่ เจอคนใหม่ๆทำให้เกิดความความรู้สึกไม่มั่นคงซึ่งเกิดจากความเคยชินกับรูปแบบชีวิตเดิมๆ มีความกังวลถึงความปลอดภัยและรู้สึกเสี่ยงที่ต้องพบกับประสบการณ์ใหม่ที่ไม่คุ้นเคยและยากต่อการรับมือ แต่หลักความจริงตามธรรมชาตินั้นมนุษย์เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวินาที ทุกวัน มนุษย์แก่และเสื่อมอยู่ตลอดเวลา ความกลัวไม่มีวันจางหายไปไหนหากเราไม่เรียนรู้และทำความเข้าใจกับตัวเองว่าแท้จริงแล้ว เรากลัวอะไร สมเหตุสมผลหรือไม่ เมื่อแก่ตัวไปเราจะเป็นคนที่กลัวการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่าลืมว่าผู้ใหญ่ในวันนี้คือเด็กที่แก่แล้ว ผู้ใหญ่ไม่ได้เติบโตมาแล้วจะมีวุฒิภาวะได้ทุกคน ผู้ใหญ่หลายคนวุฒิภาวะค่อนข้างสวนทางกับอายุและอีกประเด็นที่สำคัญ คือผู้ใหญ่ควรสามารถขอโทษเด็กก่อนได้เมื่อรู้ตัวว่าผิดเนื่องจากผู้ใหญ่ คือมนุษย์คนหนึ่งที่สามารถทำผิดได้เช่นเดียวกัน
การที่ไม่รู้จักการขอโทษใครก่อนเลยอาจเพราะผู้ใหญ่จะถือตัวเองว่าแก่กว่า เกิดมาก่อน รู้อะไรมากกว่าและรู้สึกเสียหน้าหรือเปล่าจึงไม่กล้าจะพูดขอโทษ การที่จะพูดขอโทษใครได้ ในใจเราต้องสำนึกได้ก่อนว่าสิ่งที่เราทำมันไม่ถูกต้องหรืออาจจะเป็นการเข้าใจผิด การขอโทษจะแสดงให้เห็นถึงความตระหนักรู้ด้วยตัวเองว่าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นการตัดสินคนอื่นไปก่อนหรือใช้อารมณ์โดยไร้เหตุผล การขอโทษก่อนบ่งบอกว่าเราเติบโตทางความคิด มีวุฒิภาวะและยอมรับได้ว่าเราเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง เป็นมนุษย์ซึ่งมีอารมณ์ความรู้สึก แต่สิ่งที่เหนือกว่าคือรู้เท่าทันตัวเอง การขอโทษเป็นจะทำให้คุณน่านับถือมากกว่าผู้ใหญ่ที่ทำตัวแบบผิดไม่เป็นและถือตัวเองว่าเกิดก่อน แก่กว่า ไม่จำเป็นต้องขอโทษ (รู้ไหมว่าการที่ทำตัวผิดไม่เป็นมันแสดงให้เห็นถึงนิสัยเด็กๆที่เอาแต่ใจและไม่รับผิดชอบอะไร ไม่ได้ชี้วัดถึงความเป็นผู้ใหญ่สักนิด)
สิ่งที่ทำให้คนส่วนใหญ่กลัวคืออะไร? เรากลัวอะไรบ้างนะแล้วสิ่งที่เรากำลังกลัวอยู่นั้นมีเหตุผลเพียงพอที่เราควรกลัวจริงหรือ
กลัวแตกต่างจากคนอื่น ไม่ควรกลัวเพราะมนุษย์ทุกคนเกิดมาแตกต่างกันตั้งแต่เกิดอยู่แล้วและนั่นคือความหลากหลายเป็นมุมสวยงาม คุณไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร และคุณต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เคารพกฎการอยู่ร่วมกันในสังคม มีจิตสาธารณะ ถ้าคุณแตกต่างแต่เป็นในแนวทางที่ดีก็จงกล้าที่จะแตกต่าง เป็นตัวของตัวเอง สุภาพและให้เกียรติผู้อื่นเท่านี้ก็เพียงพอแล้วสังคมภายนอกก็เป็นส่วนประกอบหนึ่งที่ทำให้หลายคนกลัวที่จะแตกต่าง เช่นวัฒนธรรมการคิด การเลียนแบบของคนในสังคม การตามกระแส การสวนกระแสหรือการทำตัวเรียกร้องความสนใจล้วนแล้วแต่มาจากความกลัวที่อยู่ส่วนลึกในใจ คิดต่างก็กลัวดูแปลก ไม่ตามกระแสก็กลัวถูกหาว่าแปลกแยกฯลฯ
กลัวความล้มเหลว ที่คนกลัวความล้มเหลวอาจเป็นเพราะบางคนทำใจยอมรับได้ยาก ความล้มเหลวเป็นเรื่องธรรมดาเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ เรียนรู้มันซะ อย่าทำผิดซ้ำๆกับเรื่องเดิมอีก ลุกขึ้นและก้าวต่อไปจนกว่าคุณจะชนะ เรื่องเล่าที่ดีและสนุกอาจต้องมีเรื่องราวของความล้มเหลว รอยแผลต่างๆมาประกอบบ้าง เพื่อให้เรื่องของคุณมีสีสันและไม่จืดชืดมากจนเกินไป การเล่าเรื่องที่คุณเคยล้มเหลวมาก่อนในวันที่คุณผ่านมาได้ เมื่อคุณหันกลับไปมองอีกครั้งคุณอาจจะยิ้มให้กับความเข็มแข็งที่ผ่านมาของคุณได้ก็ได้นะ
กลัวไม่เป็นที่รัก หลายคนยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อความรัก เพื่อให้ได้เป็นที่รักและมีอีกมากมายที่เจ็บเพราะความรัก คุณจะไม่เจ็บกับความรักถ้าคนที่คุณตกหลุมรักครั้งแรกคือตัวของคุณเอง รักตัวเองให้ได้ก่อนแล้วค่อยแบ่งปันความรักนั้นไปให้ผู้อื่น อย่าร้องขอความรักจากใครเพราะคุณไม่ใช่ขอทาน คุณมีค่ามากกว่านั้นเพราะคนที่คุณรักนั้น คือคนที่คุณแบ่งปันความรักที่คุณมีล้นเหลือจากตัวเองไปให้เขา ส่วนสิ่งที่ได้รับตอบกลับมาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคุณจะยังบอกตัวเองว่า 'ฉันสบายดี ขอบคุณ' อย่าเป็นใครก็ตามที่ไม่ใช่ตัวคุณ อย่าพยายามเป็นคนอื่นเพื่อให้ได้รับความรักแต่ควรเลือกรักให้ถูกคน
กลัวจน ข้อนี้กลัวได้นะสมเหตุผล กลัวแล้วควรตั้งใจทำงาน ขยัน ฉลาดคิด ฉลาดทำ พัฒนาตัวเองให้พร้อมอยู่เสมอ สร้างโอกาสขึ้นมาด้วยตัวเองอย่ามัวแต่นั่งรอโอกาสให้มาหาเพียงอย่างเดียว เปิดหู เปิดตา เปิดใจกับวิธีการหาเงินในยุค4.0 ปรับตัวและอยู่ให้ได้ทุกสถานการณ์เพราะชีวิตยุคนี้มันต้องสตรอง
กลัวขึ้นคาน ชีวิตคู่หรือชีวิตโสดก็มีความสุขได้ เป็นเรื่องธรรมชาติทั้งสองแบบ ถ้าคุณพอใจและมีความสุขกับชีวิตโดยไม่หลอกตัวเอง วางแผนสำหรับชีวิตไว้ไม่ว่าจะโสดหรือมีคู่การเงินต้องดีเยี่ยม เพราะเงินคือสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตได้มากที่สุด เลือกคบกัลยาณมิตรที่ดีและจงเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อผู้อื่นเช่นกัน ปัจจุบันคนโสดมีมากขึ้นรวมถึงคนมีคู่แต่ตัดสินใจไม่มีลูกก็เยอะขึ้น ความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกันดังนั้นอย่าอ้างอิงความสุขของคุณกับคนอื่น
กลัวป่วย ข้อนี้มีเหตุผลที่ทุกคนสมควรกลัว คุณต้องรักตัวเองดูแลตัวเองเลิกหาข้ออ้างกับตัวเอง ทำให้คนในกระจกมีความสุขที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วเขาจะตอบแทนกลับมาอย่างเลอเลิศที่สุดเท่าที่เขาจะให้คุณกลับมาได้ เมื่อคุณสุขภาพดีคุณจะมีโอกาสดีหลากหลายวิ่งเข้ามาหาทั้งยังมีโอกาสสร้างกุศลให้กับตัวเองและสร้างความสุขให้ผู้คนได้อีกมาก
กลัวตาย มีเหตุผลและเป็นเรื่องธรรมชาติ (ข้อนี้บางคนกลัว บางคนไม่กลัว บางคนกลัวการทรมานยาวนานก่อนตาย) เมื่อไม่รู้ว่าข้อนี้จะมาถึงเมื่อไหร่ ฉะนั้นอย่าเสียเวลากับเรื่องไร้สาระและทำให้คุณต้องติดอยู่กับสิ่งที่ทำให้ทุกข์มากอยู่เลย ช่วงชีวิตที่อยู่ให้สร้างความดี เรื่องที่ดีทั้งกับต่อตนเองและผู้อื่น จงเป็นคนที่มีความสุขทุกวัน มองโลกตามความเป็นจริงและมองบวก จงเป็นคนที่เป็นแหล่งพลังชีวิตเมื่อใครอยู่ใกล้ๆจะรู้สึกได้ถึงความสุขและอบอุ่น
เพื่อให้เรามีความกลัวน้อยลงเราจึงควรฝึกวางเป้าหมายและวางแผนชีวิตเป็นขั้นตอนเพราะคือสิ่งหนึ่งที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจ ทำให้เกิดความกล้าลงมือทำและลดความรู้สึกกลัวลงได้ สำหรับบางเรื่องที่อยู่เหนือการควบคุมของเราหรืออาจมีเหตุการณ์ใดที่ทำให้เราอาจต้องนอกแผนไปบ้างให้ถือว่าคือความท้าทายของชีวิตและฝึกทักษะการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไป เมื่อคุณดำเนินชีวิตได้อย่างสมดุลและสอดคล้องกับธรรมชาติ คุณจะไม่กลัวการเปลี่ยนแปลงแต่คุณจะยินดีกับการเปลี่ยนแปลงนั้นและคิดว่าทุกการเปลี่ยนแปลงคือโอกาสเจริญก้าวหน้าในชีวิต การพัฒนาชีวิต การพัฒนาจิตใจ ความเป็นผู้ใหญ่ หยุดกลัวเถอะถ้าคุณไม่มีวันรู้ว่าคุณจะตายจากโลกใบนี้ไปวันไหน หน้าที่ของคุณคือฝึกใช้ชีวิตให้มีความสุขในทุกๆวัน
ผู้เขียน: แก้วเกตุมณี@fitandfirmfamily
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น