ทำอย่างไรเมื่อหัวใจไม่ฟิต

สวัสดีค่ะคุณผู้อ่านปีใหม่ผ่านไปกว่าสัปดาห์แล้ว หัวใจคุณยังฟิตกันดีอยู่ไหม มีใครยังรู้สึกหลวมๆไม่ฟิตอยู่บ้างไหมคะ(หมายถึงหัวใจอย่าคิดลึกนะ) หลายคนคงสบายดีหัวใจแข็งแรงอบอุ่น ส่วนใครฺอีกหลายๆคนอาจจะยังคงรู้สึกหลวมๆอยู่ น็อตหลุด น็อตเสียไปบ้างบางคนหัวใจขึ้นสนิมมานาน บางคนศูนย์ถ่วงเสียหาทางเข้าศูนย์ไม่เจอ หัวใจหลุดคอนโทรลมาไกลมาก
เอาล่ะจะมาไกลแค่ไหนเราจะพาคุณกลับไปที่เดิม...ที่เดิมที่จะทำให้คุณรักและนับถือตัวเองออกมาจากข้างในจริงๆ...
นอกจากร่างกายแล้วเรื่องของหัวใจก็เป็นอีกเรื่องที่เราควรใส่ใจดูแลแต่ยังเหลืออีกส่วนที่เราไม่ควรจะละทิ้งเช่นกัน ส่วนนั้นดิฉันขอเรียกว่าจิตวิญญาณของเราซึ่งหมายถึงส่วนที่เป็นตัวตนลึกๆข้างในหลอมรวมเป็นนิสัยหรือพฤติกรรมการแสดงออกซึ่งทำให้มนุษย์แตกต่างกันทั้งในด้านอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด การพูด การกระทำ ทัศนคติ รวมทั้งการแสดงออกต่อตนเองและผู้อื่นหรืออาจจะเรียกได้ว่าความมี EQระดับสูงก็ได้

เมื่อเห็นคนรอบตัวที่มักจะประสบกับเหตุการณ์การอกหักซ้ำๆ เราก็มักจะได้ยินคนใกล้ชิดเขาคอยให้กำลังใจและบอกกับเขาว่าให้รักตัวเองให้เป็น ให้รักตัวเองเยอะๆดังนั้นคำว่า"รักตัวเองให้เป็น" คือคำสวยหรูที่หลายๆคนได้ยินได้ฟังมาโดยตลอดแต่ฟังยังไงมันก็ไม่ Get!สักที
คุณเชื่อไหมว่าคนที่กำลังเศร้าอยู่หรืออกหักอยู่เขารับรู้นะ เขาฟังอยู่นะแต่ในส่วนลึกนั้นเขายังไม่เข้าใจยังไม่รู้สึกสว่างออกมาจากภายในเนื่องจากขาดการยอมรับและเข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้ง
เช่น ยอมรับได้ไหมว่าคนที่เคยรักเรา "เขาหมดรักเราแล้ว" เข้าใจน่ะเข้าใจแต่รับได้ไหม รับได้จริงๆไหม เมื่อถามแบบตรงไปตรงมาคำตอบส่วนใหญ่จะเข้าใจแต่รับไม่ได้(เพราะกลัวตัวเองเจ็บแต่ก็เจ็บอยู่ดี)
หากเรารับไม่ได้แผลจะหายช้าหรือเป็นแผลเรื้อรังอยู่อย่างนั้น ถ้ารับความจริงได้เร็วจะยิ่งหายเร็วขึ้น ยิ่งเราหายช้าเราจะยิ่งเสียเวลาที่ควรจะนำไปลงทุนกับตัวเองมากขึ้น(พูดตรงๆก็คือเสียเวลาทำมาหากิน อิอิ)😮
และที่เขียนแบบนี้แค่อยากจะบอกคุณผู้อ่านว่า เสียใจได้แต่แบ่งเวลาเสียใจหน่อย เช่น ไปออกกำลังกายให้เหงื่อออกแล้วค่อยกลับมาดราม่า,ไปทำรายงานให้เสร็จและค่อยมาดราม่าแบบนี้จะ OKกว่าไหม เพราะถ้าดราม่าทั้งวันร่างกายเราจะเหนื่อย จิตใจห่อเหี่ยว ฮอร์โมนความเครียดหลั่ง หน้าโทรม ผมยุ่ง หมดสิ้นจินตนาการและหมดไฟในการพัฒนาตัวเองซึ่งถ้าเราดราม่าเยอะนั่นคือเราขาดทุนนะแต่ถ้าอยากสร้างกำไรกับชีวิตเราต้องฝึกใช้ชีวิตให้มีความสุขอยู่เสมอเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นเมื่อเราเปลี่ยนแปลงตัวเองดีแล้วทุกอย่างจะเปลี่ยนตาม จำไว้ว่าเราพัฒนาชีวิตและจิตใจเพื่อตัวเองไม่ใช่เพื่อใครอื่น

บางคนถามว่าทานข้าวครบสามมื้อนี้ถือว่ารักตัวเองไหม?...ก็ตอบเลยว่าใช่ มันคือการรักตัวเองโดยสัญชาตญาณถึงจะมีใครทานไม่ถึงสามมื้อก็ยังถือว่าเขาคนนั้นยังรักตัวเองได้อยู่(ถ้าเขายังอยู่ได้อย่างสบายหรือไม่เบียดเบียนตัวเองต้องทนอดทนหิว)รักตัวเองให้เป็นคือรักด้วยความเมตตาและรักนี้จะมาพร้อมสติและปัญญาเสมอหากเราเมตตาต่อตัวเองมากพอจิตใจเราจะทุกข์น้อยลงและสุขมากขึ้นอีกทั้งยังรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ทุกขณะว่าเรากำลังรู้สึก คิดหรือทำอะไรอยู่ เมื่อเราทำความรู้จักกับตนเองมากขึ้นเข้าใจตัวตนทั้งภายในภายนอกจากทุกมุมทุกองศา เข้าใจว่าใจเรามีดีอย่างไรเข้าใจว่าเรามีเสียอย่างไรในตัวตนนี้ใจเราจะหนักแน่นขึ้นและไม่หยี่ระกับสิ่งไร้สาระที่มากระทบจิตใจ เราจะเป็นคนที่มีความสุข เป็นคนที่มีแรงดึงดูด เป็นคนที่ใครๆก็อยากอยู่ใกล้ สิ่งเหล่านี้มันจะสะท้อนออกมาจนคนรอบข้างเราเขาสามารถสัมผัสได้ ไม่มีมนุษย์คนไหนอยากอยู่ใกล้คนที่เอาแต่บ่นว่าโชคชะตา ก่นด่าคนอื่น นินทาจนเป็นนิสัย จับผิดตลอดเวลา ไล่ล่าอาฆาตแค้น เป็นคนผิดไม่เป็นและมองทุกอย่างลบไปหมด 😱

การฝึกรู้เท่าทันใจตนเองเช่น หากเราบังเอิญไม่ชอบหน้าใครด้วยความไม่มีเหตุผล(ซึ่งเรามักหาเหตุผลสนับสนุนเช่น ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่ถูกชะตา หมั่นไส้ฯลฯ) เหล่านี้เรียกว่าอคติ
เคยถามตัวเองบ้างไหมว่าเขาคนนั้นมาทำอะไรให้เราเดือดร้อนหรือเปล่า ถ้าคำตอบคือเปล่าแปลว่าตัวเราเองมีปัญหาไม่ใช่คนที่เราไม่ชอบหน้าหรือไม่ถูกชะตามีปัญหา วิธีการคือหยุดตัดสินคนอื่นแล้วกลับมาดูรู้เท่าทันตัวเองที่ใจของเรา รู้ว่า ณ ขณะนี้เรากำลังรู้สึกอะไรอยู่ไม่ว่าจะเป็น ความกังวลใจ กลัว เครียด เสียใจ ผิดหวัง ฟุ้งซ่าน หรือถ้าเรากำลังจะโกรธแล้วนะเรารู้สึกตัวไหมหรือปล่อยให้มันเป็นไปตามอารมณ์
ระบายความโกรธความไม่พอใจนั้นกับคนใกล้ชิด คนรอบข้าง พ่นคำพูดที่ทำร้ายทำลายคนเพียงเพื่อต้องการชนะแต่ทำลายความรู้สึกคนฟังและทำลายความสัมพันธ์ที่ร่วมกันสร้างมา
เมื่อเรารู้เท่าทันใจเราจะหยุดจินตนาการหาเหตุผลเสริมความไม่ชอบให้กับตัวเองถ้าเราหยุดความอคติไม่ได้ก็ขอให้รู้เท่าทันก็พอ ไม่ชอบก็ไม่ต้องไปอยู่ใกล้เราไม่จำเป็นต้องชอบเขาสักหน่อยแค่นำความรู้สึกมาอยู่ตรงกลางให้ได้ก่อน(เราทำเพื่อฝึกใจของเราไม่ได้เกี่ยวกับอย่างอื่น)ถ้าจำเป็นต้องอยู่ใกล้ก็ควรวางเฉยซะแต่ถ้าหากว่าเขามารังแกเราก่อนนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเราสามารถอนุญาตให้เราดูแลตัวเองได้อย่างเต็มที่อยู่แล้ว  บางคนอาจจะบอกว่าก็ฉันไม่แคร์ซะอย่างซึ่งทำให้บางครั้งคนประเภทนี้กลายเป็นคนที่เย็นชามากขึ้น ไม่กล้าทำสิ่งดี ไร้น้ำใจ ไม่สนสังคม ไม่แคร์โลก แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังต้องอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ อยู่ในสังคมนี้ อยู่บนโลกใบนี้ที่เขาบอกว่าไม่แคร์นี่แหล่ะ และนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราควรแคร์สังคมบ้างเพราะอย่างน้อยตัวเราเองก็คือสังคมจุดเล็กๆจุดหนึ่งถ้าเราไม่แคร์สังคมเลย...นั่นอาจจะเป็นไปได้ว่าเรากำลังไม่แคร์ตัวเราเองอยู่หรือเปล่า...

กระจกบานที่หนึ่งมีไว้ส่องความดี กระจกบานที่สองมีไว้ส่องความไม่ดีในใจเราแล้วชำแหละมันออกมาเป็นชิ้นๆจากนั้นยอมรับว่าเราก็มีส่วนที่ไม่ดีนะยอมรับได้ไหม ตักเตือนตัวเองได้ไหมเวลาเราทำเรื่องไม่ดีไม่งามหรือทำเรื่องที่เดือดร้อนคนอื่นเพราะถ้าเราสั่งสอนตัวเองไม่ได้ก็ไม่มีใครสอนเราได้(เพราะไม่มีใครเขาอยากมายุ่งกับขนาดนั้นหรอก)เมื่อเรายอมรับตัวตนในด้านแย่ๆของตัวเองได้และกล้าพอที่จะวิจารณ์ตัวเองได้อย่างตรงไปตรงมาจิตเราจะพัฒนาและแกร่งขึ้นหากแต่อ่อนโยนและเข้าใจความแตกต่างในปัจเจกบุคคลมากขึ้นและเมื่อนั้นเราจะยินดีที่จะพัฒนาชีวิตจิตใจด้วยตัวเองให้เป็นคนที่ดีกว่าเดิมโดยที่เราไม่ติดดีได้อีกด้วย (คนทุกคนสามารถที่จะมองเห็นความไม่น่ารักของตัวเองแล้วเปลี่ยนมันได้) ถ้าเราคิดว่าเราดี เราก็ต้องไม่ติดดีให้ได้ก่อน เช่น ถ้าเรากำลังทำดีกับสังคมมายาวนานแต่ไม่มีใครเห็นเลยต่างกับอีกคนที่ช่วยคนแก่ข้ามถนนแค่วันเดียวกลับเป็นข่าวดังมีคนมาชื่นชมมากมาย ถ้าเราเห็นข่าวนี้แล้วรู้สึกว่าก็แค่ช่วยคนแก่ข้ามถนนจะอะไรหนักหนาฉันทำเยอะมากกว่านี้อีกไม่เห็นมาชมกันล่ะแปลว่าเราทำดีเพื่อหวังผล (ถ้าลึกๆในใจเราหวังให้คนมาชื่นชมว่าเราดีกว่านะเพราะเราทำมาเยอะกว่ามากเราควรได้รับคำชมมากกว่าสิ) แปลว่าเรายังไม่มีความสุขกับการให้อย่างแท้จริงทั้งยังแอบมีความอิจฉาเล็กๆเกิดขึ้นในใจอีกด้วย แต่ถ้าเรารู้สึกว่าก็เป็นเรื่องราวที่ดีนะ หล่อแล้วยังใจดีอีกอะไรแบบนี้ใจเราก็จะร่มเย็นกว่าไหม การทำสิ่งใดๆเพื่อหวังผลอาจไม่ได้หมายความว่าผิดหรือถูกหากเพียงจะหมายความว่าเราเต็มอิ่มกับหัวใจที่ให้ไปหรือเปล่าเท่านั้นพอ

และสุดท้ายคือมันฟังดูตลกนะถ้าเราอยากทำสิ่งดีๆเพื่อตัวเองแต่มากลัวว่าคนอื่นจะมองอย่างไรคิดอย่างไรกับเราหรืออยากช่วยเหลือสังคมแต่ก็กลัวว่าคนจะว่าทำดีเอาหน้า(ประเด็นคือจะทำดีเอาหน้าหรือไม่เอาหน้าแล้วมันสำคัญยังไง ในเมื่อเราก็ทำอยู่ดี อีกอย่างทำแล้วไม่เดือดร้อนคนอื่นก็ลุยไปเลย) สะดวกแบบไหนก็ทำเลย จะทำแบบให้ความรู้ ใช้เงิน ใช้แรง ให้คำปรึกษาที่ดีก็ได้ หรือจะเป็นจิตอาสาอะไรก็ว่าไปแต่ไม่ใช่ทำแล้วต้องรอให้คนมาเห็นมาชม ไม่เห็นไม่ชมก็ทำได้หรือเปล่าถ้าใจมีสุขและอยากทำ ทำเสร็จจบคนทำอิ่มใจสุขใจพอแล้วไหม แล้วอีกกรณีหนึ่งถ้าเรายังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องเตี้ยอุ้มค่อมหรอกเพราะมันเบียดเบียนตัวเราเองและแปลว่าเรายังรักตัวเองไม่เป็น เมื่อเราเป็นมนุษย์ที่รู้จักตัวตนของเราเองกระจ่างแจ้งแล้วทุกมุมจากนั้นเราจึงจะสามารถเลือกหันมุมแต่ละมุมของเราเข้าหาสังคมได้อย่างเหมาะสมและเต็มไปด้วยวุฒิภาวะ เช่น เราจะรู้จักให้เกียรติคนอื่นเหมือนกับให้เกียรติตัวเราเอง รู้จักมารยาทสังคมและการวางตัว รู้จักคิดอย่างใช้ปัญญา รู้จักปฎิเสธแบบตรงไปตรงมาแต่สุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตนแต่ไม่ทำตัวเองดูต่ำต้อยและที่สำคัญกว่านั้นเราจะรู้สึกนับถือตัวเองสูงและเป็นความรู้สึกที่ฉายออกมาจากข้างใน

เราเป็นคนที่ดีได้เท่ากับที่เรารู้จักตนเองทุกเหลี่ยมมุม ...แค่เรามีมุมที่ดีในตัวมากกว่าส่วนที่เสียนั่นก็นับว่าเพียงพอแล้วสำหรับคนคนหนึ่งและมันคงมีค่าเพียงพอที่จะทำให้เรายกมือไหว้ตัวเองได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจเท่าไรนัก

บทความโดย: แก้วเกตุมณี@fitandfirmfamily

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เพิ่มน้ำหนักคนผอม

รวมคำถามในฟิตเนส(ที่ไม่เกี่ยวกับการออกกำลังกาย)

เทรนเนอร์ฟิตเนสสำคัญยังไง ควรมีไหม?